วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560

รำวงมาตรฐาน





รำวงมาตรฐาน
            เป็นการรำคู่  เกี้ยวพาราสีกันระหว่างชายและหญิง  เป็นการรำที่ใช้กระบวนการใช้ร่างกายในการรำที่สมบูรณ์ มีการใช้ทุกอวัยยวะทุกส่วนของร่างกายในการรำอย่่างครบถ้วน จากที่กระผมได้เรียนรำวงมาตรฐานมาทำให้กระผมมีความชื่นชอบในการเรียนรำวงมาตรฐานมาก เพราะเพลงที่ใช้รำก็มีความอ่อนช้อย อ่อนหวาน และเป็นเพลงปลุกใจ สนุกสนาน มีด้วยกันทั้งหมด 10 เพลง รำแล้วมีความสนุกสนานกับคู่  และหมู่คณะในกลุ่มรำวงมาตรฐานด้วย
      1  คุณค่าความเป็นไทย  เพลงที่ใช้ในการรำวงมาตรฐานเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องภาษาไทย  ฟังแล้วติดหู และจำง่าย และก่อนจะรำนักแสดงก็ต้องทำความเคารพกันโดยการไหว้ซึ่งกันและกันเพื่อแสดงถึงเอกลักษณ์ของความเป็นไทย  ท่ารำแต่ละเพลงก็มีความยากง่ายแตกต่างกันออกไป  นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติส่วนใหญ่ที่มารำก็มักจะชอบในการรำวงมาตรฐานเพราะท่ารำเป็นแบบพื้นฐานไม่ยากจนเกินไปเพลงก็มีความสนุกสนาน จำง่าย  และเมื่อรำเสร็จก็ต้องทำความเครารพคู่รำของตัวเอง ก่อนจะออกจากวงรำ โดยการไหว้ เป็นการสอนวัฒนธรรมไทยให้ชาวต่างชาติไปในตัวด้วย
      2  คุณค่าความบันเทิงแบบไทย รำวงมาตรฐาน เป็นการรำแบบคู่ชายและหญิง เดินคู่กันเป็นวงกลมขนาดใหญ่ เล็ก แล้วแต่จำนวนของนักแสดง และสถานที่  ท่ารำของรำวงมาตรฐานก็เป็นแบบแผน นิยมรำตามต้นฉบับ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงท่ารำได้  ส่วนเพลงที่ใช้ในการรำวงมาตรฐานมีทั้งหมด 10 เพลงรำตามลำดับตั้งแต่เพลงแรก จนถึงเพลงที่ 10 ดังนี้
ชื่อเพลงและท่ารำ
1  งามแสงเดือน                  ชายและหญิง     สอดสร้อยมาลา 
2  ชาวไทย                         
ชายและหญิง     ชักแป้งผัดหน้า 
3  รำมาซิมารำ                    ชายและหญิง     รำส่าย 
4  คืนเดือนหงาย                 ชายและหญิง      สอดสร้อยมาลาแปลง 
5  ดวงจันทร์วันเพ็ญ            ชายและหญิง      แขกเต้าเข้ารัง และผาลาเพียงไหล่ 
6  ดอกไม้ของชาติ              ชายและหญิง      รำยั่ว  
7  หญิงไทยใจงาม              ชายและหญิง      พรหมสี่หน้า และ  ยูงฟ้อนหาง 
8  ดวงจันทร์ขวัญฟ้า           ชายและหญิง      ช้างประสานงา และจันทร์ทรงกลด 
9  ยอดชายใจหาญ             ชาย - จ่อเพลิงกาล  หญิง - ชะนีร่ายไม้ 
10 บูชานักรบ                     ชาย - จันทร์ทรงกลด และขอแก้ว หญิง - ขัดจางนางและล่อแก้ว 

เนื้อเพลง
เพลงงามแสงเดือน (ใช้ท่ารำ ท่าสอดสร้อยมาลา)



งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า
งามใบหน้าเมื่ออยู่วงรำ (ซ้ำ)
เราเล่นกันเพื่อสนุก
เปลื้องทุกข์ให้วายระกำ
ขอให้เล่นฟ้อนรำ
เพื่อสามัคคีเอย






เพลงชาวไทย (ใช้ท่ารำ ท่าชักแป้งผัดหน้า)

ชาวไทยเราเอย
ขออย่าละเลยในการทำหน้าที่
การที่เราได้เล่นสนุก
เปลื้องทุกข์สบายอย่างนี้
เพราะชาติเราได้เสรี
มีเอกราชสมบูรณ์
เราจึงควรช่วยชูชาติ
ให้เก่งกาจเจิดจำรูญ
เพื่อความสุขเพิ่มพูน
ของชาวไทยเราเอย






เพลงรำซิมารำ (ใช้ท่ารำ ท่ารำส่าย ) 
รำซิมารำ
เริงระบำกันให้สนุก
ยามงานเราทำงานกันจริง
ไม่ละไม่ทิ้งจะเกิดเข็ญทุกข์
ถึงยามว่างเราจึงรำเล่น
ตามเชิงเช่นเพื่อให้สร่างทุกข์
ตามเยี่ยงอย่างตามยุค
เล่นสนุกอย่างวัฒนธรรม
เล่นอะไรให้มีระเบียบ
ให้งามให้เรียบจึงจะคมขำ
มาซิมาเจ้าเอ๋ยมาฟ้อนรำ
มาเล่นระบำของไทยเราเอย





เพลงคืนเดือนหงาย (ใช้ท่ารำท่าสอดสร้อยมาลาแปลง)

ยามกลางเดือนหงาย
เย็นพระพายโบกพริ้วปลิวมา
เย็นอะไรก็ไม่เย็นจิต
เท่าเย็นผูกมิตรไม่เบื่อระอา
เย็นร่มธงไทยโบกไปทั่วหล้า
เย็นยิ่งน้ำฟ้ามาประพรมเอย






เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ
(ใช้ท่ารำ ท่าแขกเต้าเข้ารัง และท่าผาลาเพียงไหล่ )










ดวงจันทร์วันเพ็ญ
ลอยเด่นอยู่ในนภา
ทรงกลดสดสี
รัศมีทอแสงงามตา
แสงจันทร์อร่าม
ฉายงามส่องฟ้า
ไม่งามเท่าหน้า
นวลน้องยองใย
งามเอยแสนงาม
งามจริงยอดหญิงชาติไทย
งามวงพักตร์ยิ่งดวงจันทรา
จริตกิริยานิ่มนวลละไม
วาจากังวาน
อ่อนหวานจับใจ
รูปทรงสมส่วน
ยั่วยวนหทัย
สมเป็นดอกไม้
ขวัญใจชาติเอย






เพลง ดอกไม้ของชาติ (ใช้ท่ารำ ท่ารำยั่ว)










(สร้อย) ขวัญใจดอกไม้ของชาติ
งามวิลาศนวยนาดร่ายรำ(ซ้ำ)
เอวองค์อ่อนงาม
ตามแบบนาฎศิลป์
ชี้ชาติไทยเนาว์ถิ่น
เจริญวัฒนธรรม
(สร้อย)
งามทุกสิ่งสามารถ
สร้างชาติช่วยชาย
ดำเนินตามนโยบาย
สู้ทนเหนื่อยยากตรากตรำ
(สร้อย)






เพลงหญิงไทยใจงาม
(ใช้ท่ารำท่าพรหมสี่หน้า และท่ายูงฟ้อนหาง)










เดือนพราว
ดาวแวววาวระยับ
แสงดาวประดับ
ส่องให้เดือนงามเด่น
ดวงหน้า
โสภาเพียงเดือนเพ็ญ
คุณความดีที่เห็น
เสริมให้เด่นเลิศงาม
ขวัญใจ
หญิงไทยส่องศรีชาติ
รูปงามพิลาศ
ใจกล้ากาจเรืองนาม
เกียรติยศ
ก้องปรากฎทั่วคาม
หญิงไทยใจงาม
ยิ่งเดือนดาวพราวแพรว






เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
(ใช้ท่ารำ ท่าช้างประสานงา และท่าจันทร์ทรงกลด )










ดวงจันทร์ขวัญฟ้า
ชื่นชีวาขวัญพี่
จันทร์ประจำราตรี
แต่ขวัญพี่ประจำใจ
ที่เทิดทูนคือชาติ
เอกราชอธิปไตย
ถนอมแนบสนิทใน
คือขวัญใจพี่เอย






เพลงยอดชายใจหาญ
(ใช้ท่ารำชะนีร่ายไม้ และท่าจ่อเพลิงกาฬ)











โอ้ยอดชายใจหาญ
ขอสมานไมตรี
น้องมาร่วมชีวี
กอบกรณีกิจชาติ
แม้สุดยากลำเค็ญ
ไม่ขอเว้นเดินตาม
น้องจักสู้พยายาม
ทำเต็มความสามารถ






เพลงบูชานักรบ
( เที่ยวแรก ฝ่ายหญิงใช้ท่ารำขัดจางนาง ฝ่ายชายใช้ท่ารำจันทร์ทรงกลด
เที่ยวที่สอง ฝ่ายหญิงใช้ท่ารำท่าล่อแก้ว ฝ่ายชายใช้ท่ารำท่าขอแก้ว )










น้องรักรักบูชาพี่
ที่มั่นคงที่มั่นคงกล้าหาญ
เป็นนักสู้เชี่ยวชาญ
สมศักดิ์ชาตินักรบ
น้องรักรักบูชาพี่
ที่มานะที่มานะอดทน
หนักแสนหนักพี่ผจญ
เกียรติพี่ขจรจบ
น้องรักรักบูชาพี่
ที่ขยันที่ขยันกิจการ
บากบั่นสร้างหลักฐาน
ทำทุกด้านทำทุกด้านครันครบ
น้องรักบูชาพี่
ที่รักชาติที่รักชาติยิ่งชีวิต
เลือดเนื้อที่พลีอุทิศ
ชาติคงอยู่คงอยู่คู่พิภพ





ลักษณะการแต่งกายของรำวงมาตรฐานก็บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยได้เป็นอย่างดีเช่นกันและยังเป็นการสืบสานวัฒนธรรมการแต่งกายของไทยสืบต่อไปอีกด้วย 
ลักษณะการแต่งกายรของการำวงมาตรฐานแต่งได้  3  แบบคือ
1 แบบพื้นเมือง
ชาย          นุ่งผ้าโจงกระเบน  สวมเสื้อคอกลม  มีผ้าคาดเอว
หญิง         นุ่งผ้าโจงกระเบน  ห่มสไบอัดจีบ  คาดเข็มขัด


2 แบบไทยพระราชนิยม
ชาย   สวมกางเกงขายาว  ใส่เสื้อพระราชทาน(แขนยาวหรือสั้นก็ได้) สวมรองเท้า  (แบบที่1)
หญิง  แต่งชุดไทยเรือนต้น  สวมรองเท้า (แบบที่1)


ชาย   นุ่งผ้าโจงกระเบน  ใส่เสื้อราชประแตน  ถุงเท้ายาว  สวมรองเท้า  (แบบที่2)
หญิง  แต่งชุดไทยสมัยรัชกาลที่ 5 สวมรองเท้า  (แบบที่2)

3  แบบสากลนิยม
ชาย    แต่งชุดสูทสากล สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาว  ผูกเนคไท  สวมรองเท้า
หญิง   แต่งชุดไทย


ประวัติและที่มา
      ในสมัยก่อนไม่มีคำว่า “มาตรฐาน” จะเรียกกันเพียงว่า “รำวง” เท่านั้น การรำวงนี้เป็นการละเล่นพื้นบ้านอย่างหนึ่งของชาวไทยที่บ่งบอกถึงความสนุกสนาน จะเล่นกันในบางท้องถิ่นและบางเทศกาลของแต่ละจังหวัดเท่านั้น รำวงมาตรฐานมีวิวัฒนาการมาจากการรำโทน ซึ่งเป็นการละเล่นพื้นเมืองของไทย หรืออาจพูดได้ว่า “รำวง” เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “รำโทน” 
       สมัยก่อนเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการรำโทนก็มี ฉิ่ง ฉาบ และโทน ใช้ตีประกอบจังหวะ โดยการฟ้อนรำจะมีเสียงโทนเป็นเสียงหลักตีตามจังหวะหน้าทับ จึงเรียกการฟ้อนรำชนิดนี้ว่า “รำโทน” ในด้านของบทร้องจะเป็นบทร้องที่มีภาษาเรียบง่าย ไม่พิถีพิถันในเรื่องถ้อยคำและสัมผัสวรรคตอนแต่อย่างใด เนื้อหาของเพลงจะออกมาในลักษณะกระเซ้าเย้าแหย่การหยอกล้อของหนุ่มสาว เชิญชวน ตลอดจนการชมโฉมความงามของหญิงสาวเป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อความสนุกสนานในการเล่น ในเรื่องของการแต่งกายก็เน้นเพียงความสะดวกสบายของชาวบ้านเอง ไม่ได้ประณีตแต่อย่างใด
      เมื่อประมาณ พ.ศ. 2483 ชาวบ้านนิยมเล่นรำโทนอย่างแพร่หลาย ศิลปะชนิดนี้จึงมีอยู่ตามท้องถิ่นและพบเห็นได้ตามเทศกาลต่างๆ มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนี้เอง จึงได้มีผู้คิดแต่งบทร้องและทำนองเพลงขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก แต่ทั้งนี้ก็ยังคงจังหวะหน้าทับของโทนไว้เช่นเดิม บทร้องและทำนองแปลกๆ ที่มีเกิดขึ้นมาใหม่โดยปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นบทเพลงที่ขาดการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ไม่ปรากฏว่า ใครเป็นผู้แต่งบทร้องและทำนองในช่วงระหว่าง พ.ศ.  2484 – 2488 เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นที่ ตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2484 เพื่อเจรจาขอตั้งกองทัพในประเทศไทย โดยใช้เส้นทางต่างๆ ในแผ่นดินไทยลำเลียงเสบียงอาหาร อาวุธและกำลังพล เพื่อใช้ในการต่อสู้กับประเทศสัมพันธมิตร อังกฤษ อเมริกา 
     ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยมี จอมพล ป. (แปลก) พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจยอมให้ประเทศญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย เพราะเกรงว่าหากปฏิเสธคงจะถูกปราบปรามแน่ ด้วยเหตุนี้เองประเทศไทยจึงได้รับผลกระทบจากการรุกรานของฝ่ายพันธมิตร ที่ส่งกองทัพเข้ามาโจมตีฐานทัพญี่ปุ่นทางอากาศ โดยเฉพาะในยามที่เป็นคืนเดือนหงาย จะมองเห็นจุดยุทธศาสตร์ได้ง่าย ข้าศึกมักจะเข้ามาโจมตีอย่างหนักด้วยการทิ้งระเบิด ซึ่งสร้างความเสียหายทำลายชีวิตและทรัพย์สินบ้านเรือนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบ้านเรือนที่อยู่ใกล้กับฐานทัพญี่ปุ่น
      เมื่อช่วงคืนเดือนหงายผ่านไปคืนเดือนมืดเข้ามา ข้าศึกจะมองเห็นจุดยุทธศาสตร์ไม่ชัดเจนจึงพักการรุกราน ประชาชนชาวไทยได้รับความเดือดร้อน ต่างอยู่ในสถานการณ์ที่หวาดกลัวเป็นอย่างมาก จึงได้หาวิธีผ่อนคลายความตึงเครียดความหวาดผวา ด้วยการนำศิลปะพื้นบ้านที่ซบเซาไป กลับมาร้องรำทำเพลง นั่นก็คือ “การรำโทน” 
      คำร้อง ทำนอง และการแต่งกาย ก็ยังคงเรียบง่าย สนุกสนานเช่นเดิม เพลงที่นิยมได้แก่เพลง ใกล้เข้าไปอีกนิด ช่อมาลี ตามองตา ยวนยาเหล่ เป็นต้น ต่อมา จอมพล ป. (แปลก) พิบูลสงคราม ได้เล็งเห็นศิลปะอันสวยงามของไทยที่มีอยู่อย่างแพร่หลาย หากชาวต่างชาติมาพบเห็นจะตำหนิได้ว่า ศิลปะการฟ้อนรำของไทยนี้มิได้มีความสวยงามประณีตแต่อย่างใด รวมถึงไม่มีศิลปะที่แสดงออกว่าเป็นชาติที่มีวัฒนธรรม ท่านจึงได้มอบให้กรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบในการปรับปรุงและพัฒนาการรำ “รำโทน” ขึ้นใหม่ให้มีระเบียบแบบแผนให้มีความประณีตงดงามมากขึ้น ทั้งทางด้านเนื้อร้อง ทำนอง ตลอดจนเรื่องการแต่งกาย
       เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2487 กรมศิลปากรได้ประพันธ์บทร้องขึ้นใหม่ 4 เพลง คืองามแสงเดือน ชาวไทย,รำซิมารำ,คืนเดือนหงาย และได้กำหนดวิธีการเล่น ตลอดจนท่ารำและการแต่งกายให้มีความเรียบร้อยสวยงามอย่างศิลปะของไทย 
       วิธีการเล่นนั้นจะเล่นรวมกันเป็นวง และเคลื่อนย้ายเวียนกันไปเป็นวงทวนเข็มนาฬิกา และด้วยเหตุนี้เองจึงได้เปลี่ยนชื่อ “รำโทน” เสียใหม่มาเป็น “รำวง” ต่อมาท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ได้ประพันธ์เนื้อร้องขึ้นมาใหม่อีก 6 เพลง คือ ดวงจันทร์วันเพ็ญ,ดอกไม้ของชาติ, หญิงไทยใจงาม,ดวงจันทร์ขวัญฟ้า,ยอดชายใจหาญ,บูชานักรบ มอบให้กรมศิลปากรบรรจุท่ารำไว้เป็นแบบมาตรฐาน 
       ส่วนทำนองนั้นรับผิดชอบแต่งโดยกรมศิลปากรและกรมประชาสัมพันธ์ เป็นเพลงที่มีเนื้อร้องสุภาพ ใช้คำง่าย ทำนองเพลงง่าย มุ่งให้เห็นวัฒนธรรมของชาติเป็นส่วนใหญ่ การแสดงจะใช้ผู้แสดงหญิงชายไม่น้อยกว่า ๕ คู่ 
        ครั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ชาวไทยก็ยังคงให้ความนิยมการเล่นรำวงสืบมาจนถึงปัจจุบัน และชาวต่างชาติก็นิยมเล่นกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในงานเต้นรำต่างๆ จนกระทั่งมีนักประพันธ์ผู้หนึ่งเป็นชาวอเมริกันที่ชื่อว่า Foubion Bowers ที่ได้มาพบเห็นศิลปะการรำวงของไทย และนำไปกล่าวไว้ในหนังสือ Theatre in the East ซึ่งมีสำเนียงการเรียก “รำวง” เพี้ยนไปบ้างเล็กน้อยเป็น “รำบอง” (Rombong) 
       แต่อย่างไรก็ดี วัตถุประสงค์ของกรมศิลปากร ในการปรับปรุงศิลปะการรำวงทั้งหมด 10 เพลงนี้เพื่อเป็นศิลปะการรำวงที่มีระเบียบแบบแผน ทั้งคำร้อง ทำนอง ท่ารำ ตลอดจนการแต่งกาย ให้เป็นแบบฉบับมาตรฐาน สะดวกในการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของไทยและสืบสานต่อไป ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงเรียกรำวงที่มีศิลปะเป็นแบบฉบับมาตรฐานว่า “รำวงมาตรฐาน” สืบมาจนถึงปัจจุบัน

ท่ารำ 
คุณครูศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก,คุณครูมัลลี คงประภัศร์และคุณครูลมุล ยมะคุปต์ได้ร่วมกันประดิษฐ์ท่ารำขึ้นทั้งหมด ๑๔ แม่ท่า เป็นชื่อท่ารำที่อยู่ในรำแม่บท มีทั้งหมด ๑๐ เพลง ได้แก่ เพลงงามแสงเดือน,เพลงชาวไทย,เพลงรำซิมารำ เพลง,คืนเดือนหงาย,เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ ,เพลงดอกไม้ของชาติ, เพลงหญิงไทยใจงาม, เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า, เพลงยอดชายใจหาญและเพลงบูชานักรบ

คำร้อง
จมื่นมานิตย์นเรศ (เฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร ได้ประพันธ์ขึ้น ๔ เพลง คือ เพลงงามแสงเดือน, เพลงชาวไทย,เพลงรำซิมารำและเพลงคืนเดือนหงาย
คุณหญิงละเอียด พิบูลสงคราม ได้ประพันธ์คำร้องไว้ ๖ เพลง คือเพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ,เพลงดอกไม้ของชาติ,เพลงหญิงไทยใจงาม,เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า,เพลงยอดชายใจหาญและเพลงบูชานักรบ

ทำนอง
อาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทย กรมศิลปากร ได้แต่งทำนองไว้ ๖ เพลง คือ เพลงงามแสงเดือน,เพลงชาวไทย, เพลงรำซิมารำ,เพลงคืนเดือนหงาย,เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ,เพลงดอกไม้ของชาติ
ครูเอื้อ สุนทรสนาน หัวหน้าวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ แต่งทำนองไว้ ๔ เพลง คือ เพลงหญิงไทยใจงาม,เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า,เพลงยอดชายใจหาญ,และเพลงบูชานักรบ

เครื่องดนตรี
เดิมนั้นรำโทนมีเครื่องดนตรีประกอบ คือ ฉิ่ง กรับ ฉาบ และโทน เมื่อมีการพัฒนาการรำขึ้น จึงได้พัฒนาเครื่องดนตรีที่ใช้โดยใช้วงดนตรีสากลบรรเลงแทน





แหล่งที่มาของข้อมูล    

        



นายธีระพันธ์  สุทธิ์ศิริ  5220510007  สาขาศิลปะการแสดง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น